การเลือกน้ำมันเครื่อง ที่เหมาะสมกับประเภทเครื่องยนต์เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะน้ำมันเครื่องมีหน้าที่สำคัญในการหล่อลื่นและช่วยลดการสึกหรอในเครื่องยนต์ โดยน้ำมันเครื่องเบนซินและดีเซลมีความแตกต่างกันในหลายด้าน ดังนี้
รู้จัก น้ำมันเบนซิน และ น้ำมันดีเซล
- น้ำมันเครื่องเบนซิน: ออกแบบให้เหมาะกับเครื่องยนต์ที่จุดระเบิดด้วยหัวเทียน (Spark Ignition) จึงมีสารเติมแต่งที่ช่วยในการหล่อลื่นและป้องกันการสึกหรอ รวมถึงสารที่ลดการเกิดคราบเขม่าในระดับต่ำ เนื่องจากเครื่องยนต์เบนซินจะมีการเผาไหม้ที่สะอาดกว่าเครื่องยนต์ดีเซล
- น้ำมันเครื่องดีเซล: ออกแบบให้เหมาะกับเครื่องยนต์ที่จุดระเบิดด้วยกำลังอัด (Compress Ignition) โดยมักมีสารชะล้างเขม่ามากกว่า เนื่องจากเครื่องยนต์ดีเซลมีแนวโน้มจะเกิดเขม่าจากการเผาไหม้มากกว่า
การใช้รหัส API
- น้ำมันเครื่องเบนซิน: ใช้รหัส API เริ่มต้นด้วย “S” เช่น API Service SN ซึ่งหมายถึง Spark Ignition หรือการจุดระเบิดด้วยประกายไฟ
- น้ำมันเครื่องดีเซล: ใช้รหัส API เริ่มต้นด้วย “C” เช่น API Service CI-4 ซึ่งหมายถึง Compress Ignition หรือการจุดระเบิดด้วยการอัด
สามารถใช้แทนกันได้หรือไม่?
แม้ว่าทั้งสองชนิดจะมีสารพื้นฐานเหมือนกัน แต่ก็ไม่ควรใช้น้ำมันเครื่องเบนซินกับเครื่องยนต์ดีเซลหรือกลับกัน หากไม่ได้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจาก:
- ประสิทธิภาพในการชะล้างเขม่า: น้ำมันเครื่องดีเซลจะมีสารชะล้างเขม่ามากกว่า เพื่อทำให้เครื่องยนต์สะอาดขึ้น หากใช้น้ำมันเครื่องเบนซินแทนในเครื่องยนต์ดีเซลอาจทำให้เกิดการสะสมของเขม่า ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน
- สารเติมแต่งอื่นๆ: แต่ละชนิดมีสารเติมแต่งที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อรองรับลักษณะการเผาไหม้และการใช้งานที่แตกต่างกัน การใช้แทนกันอาจลดประสิทธิภาพและทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ในระยะยาว
ข้อแนะนำ
เพื่อให้รถยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน ควรใช้น้ำมันเครื่องที่ตรงกับประเภทเครื่องยนต์ที่กำหนดไว้ในคู่มือรถยนต์ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากฉลากที่ติดอยู่บนขวดน้ำมันเครื่อง
โดยสรุปแล้ว น้ำมันเครื่องเบนซินและดีเซล มีคุณสมบัติและสารเติมแต่งที่แตกต่างกัน การเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ถูกประเภทจะช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดีขึ้นและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผิดประเภท